Land bridge ชุมพร - ระนอง กำลังกลับมาถูกพูดถึงอีกครั้งท่ามกลางความเคลื่อนไหวของสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร(สนข.) ที่ได้มีการผลักดันโครงการ รับฟังความคิดเห็นประชาชน และเตรียมผลักดันร่างพระราชบัญญัติระเบียงเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้(SEC)
Beach for life ออกรายงาน Land bridge Effect ผลกระทบท่าเรือแลนด์บริดจ์ชุมพร-ระนอง โดยได้ทำการศึกษาบทเรียนในอดีตของท่าเทียบเรือขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อชายหาดและผลกระทบของท่าเรือภายใต้โครงการแลนด์บริจด์ชุมพร - ระนอง รวมทั้งวิเคราะห์ผลกระทบและข้อห่วงกังวลไว้
รูปที่ 4-1 เปรียบเทียบพื้นที่ถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง มาบตาพุด และแลนด์บริดจ์
หากมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์ สิ่งที่ประชาชนโดยเฉพาะผู้ที่ใช้ประโยชน์บริเวณพื้นที่ชายฝั่งและในทะเลควรรับทราบ คือ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อธรรมชาติและการใช้ชีวิตของคนในพื้นที่ เพื่อเตรียมตัวและหาทางรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเมื่อเทียบเคียงกับท่าเรือน้ำลึกอื่นๆที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วบริเวณพื้นที่ชายฝั่งของไทยในอดีต ได้แก่
เมื่อมีการสร้างท่าเรือน้ำลึกสิ่งสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือ การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำตามธรรมชาติ เนื่องจากโครงสร้างขนาดใหญ่ของท่าเรือจะไปขวางเส้นทางการไหลของกระแสน้ำซึ่งอาจส่งผลให้
ชายฝั่งของชุมพรและระนองเป็นแหล่งอาศัยของสัตว์ทะเลจำนวนมาก การสร้างท่าเรือน้ำลึกต้องมีการขุดลอกทะเลเพื่อทำร่องน้ำลึก ซึ่งจะทำให้ตะกอนดินฟุ้งกระจายในน้ำ และทำลายแหล่งหากินของสัตว์น้ำหลายชนิด ผลที่อาจเกิดขึ้นได้แก่:
เมื่อท่าเรือน้ำลึกเปิดใช้งาน เรือสินค้าขนาดใหญ่จากทั่วโลกจะเดินทางเข้ามาเป็นจำนวนมากซึ่งอาจนำมาซึ่งปัญหามลพิษ หากไม่มีมาตรการจัดการที่ดี คุณภาพของสิ่งแวดล้อมทางทะเลอาจเสื่อมโทรมลงอย่างรวดเร็ว:
ในช่วงก่อสร้างท่าเรือและโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ชาวบ้านอาจต้องเผชิญกับ:
หากไม่มีมาตรการควบคุมฝุ่นและเสียงที่ดี อาจทำให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบต่อสุขภาพและคุณภาพชีวิตในระยะยาว
หากมีการสร้างท่าเรือน้ำลึก ชายหาดและธรรมชาติที่เคยเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ อาจถูกเปลี่ยนไปเป็นพื้นที่อุตสาหกรรม ส่งผลทำให้:
ที่กล่าวมานี้เป็นเพียงภาพรวมของผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น จากบทเรียนที่เชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นมาแล้วในอดีตจากโครงการพัฒนาท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ในประเทศไทย แม้ว่าท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์คาดว่าจะไม่มีนิคมอุตสาหกรรมบริเวณท่าเทียบเรือเหมือนแหลมฉบังและมาบตาพุดก็ตาม แต่ผลกระทบที่กล่าวมาข้างต้นนั้น ไม่ได้ขึ้นกับมีหรือไม่มีนิคมหรือโรงงานอุตสาหกรรม แต่เป็นผลกระทบที่อาจเกิดจากการถมทะเลสร้างท่าเทียบเรือ
ท่าเทียบเรือบริเวณแหลมริ่ว มีพื้นที่ถมทะเลประมาณ 5,800 ไร่ มีโครงสร้างเขื่อนกันคลื่น ท่าเทียบเรือ 2 ตัวยาว 5.4 กิโลเมตร และ 685 เมตร ระหว่างการก่อสร้างต้องขุดลอกตะกอนท้องทะเลประมาณ 130.09 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยพื้นที่ท่าเรืออยู่ห่างฝั่งใกล้กับแหลมริ่วห่างจากหน้าหาดทองโขประมาณ 2 กิโลเมตร โดยมีสะพานเชื่อมต่อจากทิศเหนือของหาดบางน้ำจืดออกไปประมาณ 2.5 กิโลเมตร (รูปที่ 4-2)
รูปที่ 4-2 องค์ประกอบของท่าเรือแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร (ที่มา: สนข, 2566)
แหลมริ่วซึ่งเป็นตำแหน่งสร้างท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอ่าวไทยนั้น อยู่บริเวณทิศเหนือของ หาดบางน้ำจืด อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร มีสภาพเป็นหัวแหลมยื่นออกมาจากชายฝั่ง ทิศใต้ของแหลมริ่ว คือหาดบางน้ำจืดความยาวประมาณ 7.8 กิโลเมตรจรดปากน้ำหลังสวน ส่วนทางทิศเหนือคืออ่าวทองโข ซึ่งเป็นหาดทรายกระเปาะเล็กๆ ถูกขนาบด้วยเขาสองฝั่งเหนือใต้ ถัดออกไปคือเกาะพิทักษ์ เกาะที่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของจังหวัดชุมพร สภาพชายหาดแถบนี้เป็นทรายเกือบทั้งหมด บริเวณแหลมริ่วเป็นหิน และพบพื้นที่สุสานหอยอายุกว่า 40 ล้านปี ในพื้นที่ประชิดกับตำแหน่งที่คาดว่าจะเป็นสะพานเข้าท่าเรือ (รูปที่ 4-3)
รูปที่ 4-3 สภาพของชายฝั่งทะเลปัจจุบันบริเวณท่าเรือแหลมริ่ว อ.หลังสวน จ.ชุมพร
งานศึกษาผลกระทบเบื้องต้นของการเกิดขึ้นของท่าเรือแหลมริ่วได้ใช้โปรแกรม DSAS และแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ GENESIS เพื่อจำลองว่าหากมีโครงสร้างสะพานเข้าท่าเรือและท่าเรือน้ำลึกขนาดใหญ่เกิดขึ้นจริง จะเกิดผลกระทบอย่างไรต่อการเปลี่ยนแปลงชายฝั่งทะเลหาดบางน้ำจืดและอ่าวทองโข โดยการพยากรณ์แนวชายฝั่งจากปีปัจจุบัน (2567) ที่ยังไม่เกิดโครงการไปยังปีอนาคตที่โครงการระยะที่ 1 แล้วเสร็จ (2583) และเมื่อโครงการดำเนินโครงการไปแล้ว 5 ปี (2588) และ 10 ปี (2593) ผลการศึกษาแสดงพื้นที่ชายหาดทองโขและหาดบางน้ำจืดที่เปลี่ยนแปลงไป ตามรูปที่ 4-4 และรูปที่ 4-5 โดย รูปที่ 4-6 และ รูปที่ 4-7 แสดงแนวชายฝั่งที่เปลี่ยนแปลงไป
รูปที่ 4-4 พื้นที่ชายหาดทองโขที่เปลี่ยนแปลงในอนาคตเมื่อเทียบกับปี 2567
รูปที่ 4-5 พื้นที่ชายหาดบางน้ำจืดที่เปลี่ยนแปลงในอนาคตเมื่อเทียบกับปี 2567
รูปที่ 4-6 การเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง หาดทองโข
รูปที่ 4-7 การเปลี่ยนแปลงชายฝั่ง หาดบางน้ำจืด
จากการศึกษาผลกระทบของโครงการแลนด์บริดจ์ต่อแนวชายฝั่งบริเวณหาดบางน้ำจืดและหาดทองโขในจังหวัดชุมพร พบว่าในอนาคตแนวชายฝั่งมีแนวโน้มเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งในรูปแบบของการกัดเซาะและการทับถม โดยมีสาระสำคัญดังนี้
จากการคาดการณ์ผลกระทบของโครงการในระยะยาว พบว่าผลกระทบที่ชัดเจนที่สุดคือพฤติกรรมกัดเซาะและทับถมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากกรณีมีและไม่มีโครงการ ซึ่งสามารถสังเกต เห็นได้อย่างชัดเจนจากกราฟรูปที่ 4-4 และ 4-5 ในทุกช่วงปีที่ทำการคาดการณ์
กรณีหาดทองโขและหาดบางน้ำจืดนั้น เมื่อพิจารณาค่าเฉลี่ยตลอดทั้งแนวชายหาดเมื่อวิเคราะห์ด้วยโปรแกรม DSAS มีแนวโน้มทับถมมากกว่ากัดเซาะอยู่แล้วจากอดีตถึงปัจจุบัน และเมื่อคาดการณ์ไปในอนาคตด้วยแบบจำลอง GENESIS พบว่า การทับถมและกัดเซาะที่เคยเกิดขึ้นมาในอดีตนั้น ยังคงเกิดขึ้นต่อไป แต่ในระดับหรือปริมาณที่ลดลงอย่างมาก (กราฟแท่งสีแดงและน้ำเงินในรูปที่ 4-4 และ 4-5 สั้นลงกว่ากรณีไม่มีโครงการในทุกช่วงปีที่คาดการณ์ทั้งสองชายหาด) เมื่อพิจารณาพื้นที่เปลี่ยนแปลงชายหาดสุทธิพบว่า ทั้งสองหาดเกิดการทับถมในทุกช่วงปีทั้งกรณีมีและไม่มีโครงการ โดยหากมีโครงการ การทับถมจะน้อยลงกว่ากรณีไม่มีโครงการมากทั้งสองชายหาด ดังรูปที่ 4-8
หาดทองโข
รูปที่ 4-8 พื้นที่ชายหาดทองโขและบางน้ำจืดที่เปลี่ยนแปลงสุทธิในอนาคตเมื่อเทียบกับปี 2567
จากผลการศึกษาในหัวข้อ 4.2.1 เป็นผลจากการจำลองโครงสร้างท่าเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงในตำแหน่งของชายฝั่งทะเลที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่โครงการ โดยโครงสร้างที่จำลองผ่านแบบจำลอง ทางคณิตศาสตร์นั้นมิได้เสมือนจริงทั้งหมดด้วยข้อจำกัดของแบบจำลองและข้อมูลที่มีอยู่ ผลกระทบที่ได้นำเสนอมาจึงเป็นเพียงบางส่วนเท่าที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้เท่านั้น ยังมีผลกระทบอื่นๆที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นได้ จากการถมทะเลด้านหน้าอ่าวทองโขที่มีลักษณะเป็นอ่าวที่ค่อนข้างปิดอยู่ระหว่างหัวเขาขนาบเหนือใต้ และมีสภาพสมดุล (มีเสถียรภาพ) โดยมีประเด็นหลักๆที่น่าห่วงกังวลดังนี้
1. การไหลเวียนของน้ำลดลง ท่าเรือขนาดใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าอ่าว อาจเป็นอุปสรรคขวาง การไหลของกระแสน้ำตามธรรมชาติ
2. เกิดการสะสมของตะกอนในอ่าวมากขึ้น กระแสน้ำที่ไหลออกจากอ่าวอาจถูกกีดขวางโดยโครงสร้างท่าเรือ ทำให้ตะกอนที่เคยถูกพัดออกไปยังทะเลเปิด ตกสะสมภายในอ่าวมากขึ้น
3. ทำให้เกิดน้ำวนในอ่าว ถ้าท่าเรือมีขนาดใหญ่มาก อาจเปลี่ยนแปลงทิศทางของกระแสน้ำ ที่เคยไหลเวียนรอบอ่าว
4. คุณภาพน้ำอาจแย่ลง
5. การเปลี่ยนแปลงของคลื่น
ท่าเทียบเรือบริเวณอ่าวอ่าง อ.เมืองระนอง จ.ระนอง มีพื้นที่ถมทะเลประมาณ 6,975 ไร่ มีโครงสร้างเขื่อนกันคลื่นท่าเทียบเรือ 3 ตัวยาว 3.12 กิโลเมตร 340 เมตร และ 290 เมตร ระหว่างการก่อสร้างต้องขุดลอกตะกอนท้องทะเลประมาณ 149.50 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยพื้นที่ท่าเรืออยู่ห่างฝั่งทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอ่าวอ่าง ห่างจากแหลมไผ่ ประมาณ 1 กิโลเมตร ห่างจากเกาะพยามทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 4 กิโลเมตร โดยมีสะพานเชื่อมต่อจากทิศใต้ของอ่าวอ่างออกไป (รูปที่ 4-9)
รูปที่ 4-9 องค์ประกอบของท่าเรืออ่าวอ่าง อ.เมืองระนอง จ.ระนอง (ที่มา: สนข, 2566)
แหลมไผ่ หรือเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่าแหลมอ่าวอ่าง ซึ่งเป็นตำแหน่งสะพานเชื่อมท่าเรือน้ำลึก มีสภาพเป็นแหลมหินยื่นออกไปจากชายฝั่งทางทิศใต้ของอ่าวอ่าง ใกล้กันทางทิศเหนือในระยะ 2.3 กิโลเมตร คือเกาะสน ส่วนทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือในระยะ 8 กิโลเมตร คือเกาะพยาม ห่างจากแหลมไผ่ลงไปทางทิศใต้ ในระยะ 7 กิโลเมตร คืออุทยานแห่งชาติแหลมสน สภาพชายหาดแถบนี้เป็นทรายละเอียด และโคลนปนทรายเกือบทั้งหมด ยกเว้นบริเวณแหลมและหัวเกาะต่างๆมีสภาพเป็นหิน พบป่าชายเลนอุดมสมบูรณ์มากด้านในอ่าวอ่างและในคลอง (รูปที่ 4-10)
รูปที่ 4-10 สภาพของชายฝั่งทะเลปัจจุบันบริเวณท่าเรืออ่าวอ่าง อ.เมืองระนอง จ.ระนอง
งานศึกษาผลกระทบที่อาจเกิดจากท่าเทียบเรือน้ำลึกขนาดใหญ่บริเวณอ่าวอ่าง วิเคราะห์โดยการจำลองลักษณะทางกายภาพปัจจุบันของพื้นที่รอบๆตำแหน่งที่คาดว่าจะเป็นที่ตั้งของท่าเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงไปในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์สองมิติ (MIKE21) เพื่อศึกษาลักษณะของพลศาสตร์ชายฝั่งทะเล หรือการไหลเวียนของน้ำทะเลอันเกิดจากการขึ้นลงของน้ำทะเลตามธรรมชาติ ความเร็วและทิศทางลม และความลึกของท้องทะเล โดยจำลองในช่วงฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ (พฤศจิกายน-กุมภาพันธ์) ตะวันตกเฉียงใต้ (พฤษภาคม-ตุลาคม) และช่วงเปลี่ยนผ่านฤดูกาล (มีนาคม-เมษายน) ในช่วงน้ำเกิดน้ำตาย และน้ำขึ้นและน้ำลง รวมทั้งหมด 12 กรณีศึกษา ในขอบเขตพื้นที่ศึกษาดังรูปที่ 4-11
รูปที่ 4-11 ขอบเขตพื้นที่ศึกษาสภาพอุทกพลศาสตร์
หลังจากได้สภาพอุทกพลศาสตร์ชายฝั่งปัจจุบันแล้ว ได้ทำการจำลองโครงสร้างท่าเทียบเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงไปในแบบจำลองในตำแหน่งที่คาดว่าจะเป็นที่ตั้งของโครงการ แล้ววิเคราะห์แบบเดิมอีกครั้งหนึ่ง เพื่อเปรียบเทียบผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในกรณีมีและไม่มีโครงการแสดงตัวอย่างผลการวิเคราะห์ระดับน้ำ (รูปที่ 4-12) ความเร็วของกระแสน้ำ (รูปที่ 4-13) และทิศทางของกระแสน้ำ (รูปที่ 4-14) ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ หรือช่วงปลอดมรสุมของทะเลฝั่งระนอง เวลาน้ำขึ้น ในช่วงน้ำเกิด แสดงดังนี้
รูปที่ 4-12 ระดับน้ำฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงน้ำเกิด ช่วงน้ำขึ้น
กรณีไม่มี(ซ้าย) และมีโครงการ (ขวา)
รูปที่ 4-13 ความเร็วของกระแสน้ำฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงน้ำเกิด ช่วงน้ำขึ้น
กรณีไม่มี(ซ้าย) และมีโครงการ (ขวา)
รูปที่ 4-14 ทิศทางของกระแสน้ำฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ช่วงน้ำเกิด ช่วงน้ำขึ้น
กรณีไม่มี(ซ้าย) และมีโครงการ (ขวา)
ผลการศึกษาสภาพอุทกพลศาสตร์ใน 12 กรณีศึกษา สรุปได้ดังตารางที่ 4-1
ตารางที่ 4-1 สรุปผลการวิเคราะห์แบบจำลองอุทกพลศาสตร์ กรณีไม่มีและมีโครงการ
ผลการศึกษาที่สำคัญค้นพบว่า แม้ว่าระดับน้ำทะเลก่อนและหลังการดำเนินโครงการจะไม่แตกต่างกันมากนัก แต่กระแสน้ำและทิศทางการไหลของน้ำในบริเวณดังกล่าวได้รับผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจน สรุปสาระสำคัญได้ดังนี้
ในช่วงน้ำขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงสุดพบในช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม ขณะที่ฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้และฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมีระดับน้ำที่ใกล้เคียงกัน ส่วนในช่วงน้ำลง ระดับน้ำทะเลสูงสุดพบในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือและช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม ซึ่งสูงกว่าฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้เล็กน้อย อย่างไรก็ตามเมื่อพิจารณาระดับน้ำก่อนและหลังการก่อสร้างโครงการ พบว่าไม่มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ โดยอยู่ในช่วง -0.3 ถึง 1.1 เมตรจากระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) ในฤดูมรสุม และ 0.0 ถึง 1.12 ม.รทก. ในช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม
แม้ว่าทิศทางการไหลของกระแสน้ำจะยังคงเหมือนเดิม โดยช่วงน้ำขึ้นน้ำไหลจากทิศใต้ไปยังทิศตะวันออกเฉียงเหนือ และช่วงน้ำลงน้ำไหลจากทิศเหนือไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้ แต่พบว่าความเร็วของกระแสน้ำได้รับผลกระทบจากโครงการดังนี้
ก่อนมีโครงการ
- ฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้: 0.08 - 1.20 เมตร/วินาที
- ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ: -0.2 ถึง 1.2 เมตร/วินาที
- ช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม: -0.1 ถึง 1.3 เมตร/วินาที
หลังมีโครงการ
- ฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้: 0.00 - 1.12 เมตร/วินาที (ลดลง)
- ฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ: -0.1 ถึง 1.3 เมตร/วินาที (เพิ่มขึ้นเล็กน้อย)
- ช่วงเปลี่ยนฤดูมรสุม: -0.1 ถึง 1.3 เมตร/วินาที (เท่าเดิม)
จากข้อมูลนี้พบว่า กระแสน้ำในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีความเร็วลดลงหลังจากมีโครงการ ขณะที่กระแสน้ำในฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือกลับมีความเร็วเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงของรูปแบบชายฝั่งและโครงสร้างท่าเรือที่ส่งผลต่อการไหลของน้ำ
พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากกระแสน้ำที่เปลี่ยนแปลงมีทั้งบริเวณที่กระแสน้ำไหลแรงขึ้นและบริเวณที่กระแสน้ำไหลช้าลงดังนี้
- บริเวณที่กระแสน้ำมีความเร็วสูงที่สุด: ระหว่างเกาะพยามกับท่าเรือ ซึ่งอาจทำให้เกิดการกัดเซาะของพื้นทะเลและตะกอนฟุ้งกระจาย ส่งผลกระทบต่อแนวปะการังและแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำ (รูปที่ 4-15 และ 4-16)
- บริเวณที่กระแสน้ำมีความเร็วต่ำที่สุด: ระหว่างแหลมไผ่กับท่าเรือ ซึ่งอาจทำให้เกิดการสะสมของตะกอนในบางพื้นที่ และอาจส่งผลต่อคุณภาพน้ำ รวมถึงการไหลเวียนของสารอาหารในระบบนิเวศทางทะเล (รูปที่ 4-17 และ 4-18)
จากการลงสำรวจพื้นที่ภาคสนามและสอบถามชาวประมงที่ทำมาหากินบริเวณนี้พบว่า เรือประมงชนาดเล็กมีแหล่งทำมาหากินอยู่บริเวณดอนตาแพ้ว ทิศเหนือของท่าเรือหรือทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเกาะพยามเป็นจำนวนมาก จากผลการศึกษาพบผลกระทบสำคัญอาจเกิดขึ้นคือ ความเร็วของกระแสน้ำจะลดลง (ประมาณ 25% ในฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ช่วงน้ำขึ้นในช่วงน้ำตาย) (รูปที่ 4-15 และ 4-16) และหากน้ำไหลช้าลงจะทำให้ตะกอนที่ไหลมากับน้ำตกตะกอนไวขึ้นส่งผลให้ดอนตาแพ้วอาจตื้นเขินเร็วกว่าปกติ ส่วนในช่วงน้ำเกิดที่ระดับน้ำทะเลขึ้นลงแตกต่างกันมากกว่าปกติ ไม่ค่อยส่งผลกระทบต่อกระแสน้ำบริเวณนี้มากนัก
แม้ว่าระดับน้ำทะเลในพื้นที่โครงการแลนด์บริดจ์จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนหลังจากการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือ แต่กระแสน้ำได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ โดยมีผลกระทบแตกต่างกันไปตามแต่ละฤดูกาลและแตกต่างกันไปตามพื้นที่ บริเวณสำคัญที่อาจเปลี่ยนแปลงจนกระทบต่อการทำมาหากินของชาวประมงและควรต้องติดตามอย่างใกล้ชิดได้แก่ ช่องระหว่างแหลมไผ่กับท่าเรือ เกาะพยามกับท่าเรือ และดอนตาแพ้ว ตามผลการศึกษาที่กล่าวมาข้างต้น โดยการเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลต่อกระบวนการพัดพาตะกอน และอาจมีผลกระทบต่อแนวปะการังและการประมงในบริเวณโดยรอบ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ควรได้รับการพิจารณาในการวางแผนและบริหารจัดการพื้นที่ชายฝั่งเพื่อให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุดต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเลและชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง
รูปที่ 4-15 ความเร็วของกระแสน้ำฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงน้ำตาย ช่วงน้ำขึ้น กรณีไม่มี(ซ้าย) และมีโครงการ (ขวา) บริเวณเกาะพยามและดอนตาแพ้ว
รูปที่ 4-16 ความเร็วของกระแสน้ำฤดูมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ช่วงน้ำเกิด ช่วงน้ำขึ้น กรณีไม่มี(ซ้าย) และมีโครงการ (ขวา) บริเวณเกาะพยามและดอนตาแพ้ว
รูปที่ 4-17 ความเร็วของกระแสน้ำฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือช่วงน้ำเกิด ช่วงน้ำลง กรณีไม่มี(ซ้าย) และมีโครงการ (ขวา) บริเวณแหลมไผ่
รูปที่ 4-18 ความเร็วของกระแสน้ำฤดูมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือช่วงน้ำตาย ช่วงน้ำลง กรณีไม่มี(ซ้าย) และมีโครงการ (ขวา) บริเวณแหลมไผ่
จากผลการศึกษาในหัวข้อ 4.3.1 เป็นผลจากการจำลองโครงสร้างท่าเรือและสะพานเชื่อมท่าเรือลงในตำแหน่งของชายฝั่งทะเลที่คาดว่าจะเป็นพื้นที่โครงการ โดยโครงสร้างที่จำลองผ่านแบบจำลองทางคณิตศาสตร์นั้นมิได้เสมือนจริงทั้งหมดด้วยข้อจำกัดของแบบจำลองและข้อมูลที่มีอยู่ ผลกระทบที่ได้นำเสนอมาจึงเป็นเพียงบางส่วนเท่าที่สามารถวิเคราะห์เชิงลึกได้เท่านั้น ยังมีผลกระทบอื่นๆที่คาดว่าอาจเกิดขึ้นได้ จากการถมทะเลระหว่างแหลมไผ่หน้าอ่าวอ่างกับเกาะพยาม ซึ่งนับการถมทะเลที่ทับลงไปบนเส้นทางสัญจรที่สำคัญของเรือประมงขนาดเล็กในการออกไปทำมาหากิน โดยมีประเด็นหลักๆที่น่าห่วงกังวลเพิ่มเติมดังนี้
1. กรณีกระแสน้ำไหลเร็วขึ้น ถ้าท่าเรือทำให้กระแสน้ำไหลเร็วขึ้น การประมงชายฝั่งอาจได้รับผลกระทบ ดังนี้
ถ้าเป็นแบบนี้ ชาวประมงชายฝั่งอาจต้องออกไปหาปลาไกลกว่าเดิม หรือปรับเปลี่ยนวิธีทำประมง
2. กรณีที่กระแสน้ำไหลช้าลง ถ้าท่าเรือทำให้กระแสน้ำไหลช้าลง การประมงชายฝั่งอาจได้รับผลกระทบ ดังนี้
กรณีกระแสน้ำไหลช้าลงอาจส่งผลให้น้ำตื้นลงจากตะกอนที่ตกสะสม เรือประมงขนาดเล็กอาจได้รับผลกระทบต่อเนื่องไปอีกดังนี้
3. พื้นที่ถมทะเลจากการก่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ กีดขวางการเดินทางไปของชาวประมงพื้นบ้าน
4. ผลกระทบต่อชาวประมงพื้นบ้านจากการเดินเรือลอดใต้ตอม่อสะพาน หากมีตอม่อสะพาน (สะพานเชื่อมระหว่างฝั่งกับท่าเรือที่ถมทะเล) บริเวณแหลมไผ่กับท่าเรือ และชาวประมงพื้นบ้านต้องเดินเรือลอดใต้สะพานเพื่อออกไปหาปลา อาจเกิดผลกระทบดังต่อไปนี้:
ผลกระทบจากโครงการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่ภายใต้โครงการแลนด์บริดจ์บริเวณชายฝั่งชุมพร-ระนอง ตามการศึกษานี้ แม้ว่าโครงสร้างท่าเรือและสะพานที่จำลองขึ้นในแบบจำลองทางคณิตศาสตร์อาจยังไม่สามารถสะท้อนสภาพความเป็นจริงได้ทั้งหมด เนื่องจากข้อจำกัดด้านข้อมูลและความซับซ้อนของธรรมชาติ อย่างไรก็ตาม ผลการวิเคราะห์ชี้ให้เห็นถึงผลกระทบสำคัญ ที่อาจเกิดขึ้นกับการประมงพื้นบ้าน โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำบริเวณเส้นทางเดินเรือ และแหล่งทำมาหากินของชาวประมง
หากโครงการก่อสร้างทำให้กระแสน้ำบริเวณดังกล่าวไหลเร็วขึ้น อาจทำให้ชาวประมงจับปลาได้ยากขึ้น เพราะกระแสน้ำที่แรงอาจพัดอวนและเครื่องมือประมงออกจากจุดที่วางไว้ นอกจากนี้เรือขนาดเล็กที่เป็นหัวใจของการประมงพื้นบ้านอาจควบคุมได้ยากขึ้นในกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุ นอกจากนี้ การไหลของน้ำที่เปลี่ยนไปอาจทำให้ปลา ปู และกุ้งย้ายถิ่นฐานไปยังบริเวณที่กระแสน้ำสงบกว่า ส่งผลให้แหล่งหากินของชาวประมงเปลี่ยนไป และอาจต้องออกไปหาปลาไกลขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น
ในทางกลับกัน หากโครงสร้างท่าเรือทำให้กระแสน้ำไหลช้าลง อาจเกิดการสะสมของตะกอน ที่พื้นทะเล ทำให้บางพื้นที่ตื้นขึ้นและส่งผลต่อแหล่งวางไข่ของสัตว์น้ำ นอกจากนี้ กระแสน้ำที่นิ่งขึ้นอาจทำให้ของเสียจากเรือและมลพิษสะสมอยู่ในพื้นที่ได้นานขึ้น ส่งผลให้คุณภาพน้ำแย่ลงและกระทบต่อระบบนิเวศทางทะเล แม้ว่ากระแสน้ำที่สงบลงอาจเอื้อให้บางพื้นที่กลายเป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ แต่การเปลี่ยนแปลงนี้อาจไม่เอื้ออำนวยต่อการทำประมงแบบดั้งเดิม
อีกหนึ่งปัญหาสำคัญคือ พื้นที่ที่ถูกถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรืออาจขวางเส้นทางเดินเรือของชาวประมงพื้นบ้าน ซึ่งจำเป็นต้องเปลี่ยนเส้นทางและอ้อมไกลขึ้น ส่งผลให้เสียเวลาและค่าน้ำมันมากขึ้น หากไม่มีการวางแผนที่ดี ร่องน้ำที่เคยใช้เดินเรืออาจตื้นขึ้นจากการสะสมของตะกอน ทำให้เรือประมงติดโคลนในช่วงน้ำลง และจำเป็นต้องรอเวลาน้ำขึ้นจึงจะออกเรือได้ ซึ่งอาจกระทบต่อวิถีชีวิตของชาวประมง
นอกจากนี้ หากมีการสร้างสะพานเชื่อมท่าเรือที่ถมทะเลกับฝั่ง อาจทำให้ชาวประมงต้องเดินเรือลอดใต้สะพาน ซึ่งอาจมีข้อจำกัดด้านความสูง โดยเฉพาะช่วงน้ำขึ้น เรือบางลำอาจไม่สามารถผ่านไปได้ หรือในช่วงน้ำทะเลหนุนสูงอาจเสี่ยงต่ออุบัติเหตุจากการชนสะพาน อีกทั้งกระแสน้ำที่ไหลผ่านช่องแคบใต้สะพานอาจมีความเร็วเพิ่มขึ้นหรือเกิดน้ำวน ทำให้การเดินเรือยากขึ้น โดยเฉพาะเรือเล็กที่เสี่ยงต่อการถูกพัดไปชนเสาสะพาน นอกจากนี้ โครงสร้างสะพานอาจทำให้เกิดการสะสมของตะกอนรอบเสาสะพาน ส่งผลให้บางพื้นที่ตื้นเขินและต้องมีการขุดลอกร่องน้ำบ่อยขึ้น ซึ่งอาจมีต้นทุนสูง
การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนให้เห็นว่า โครงการถมทะเลเพื่อสร้างท่าเรือขนาดใหญ่อาจส่งผลกระทบโดยตรงต่อวิถีชีวิตของชาวประมงพื้นบ้าน การสูญเสียแหล่งทำกิน เส้นทางเดินเรือ และระบบนิเวศทางทะเล อาจทำให้ชาวประมงต้องแบกรับต้นทุนที่สูงขึ้น เสี่ยงต่อความปลอดภัย และอาจต้องปรับเปลี่ยนอาชีพหากผลกระทบรุนแรงเกินกว่าจะแก้ไขได้ การพัฒนาควรเป็นไปอย่างสมดุลกับ การรักษาสิ่งแวดล้อม และลดผลกระทบให้น้อยที่สุด โดยควรมีการศึกษาและวางแผนมาตรการบรรเทาผลกระทบอย่างรอบด้าน โดยรับฟังเสียงของชุมชนและผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง
Author
Beach For Life
แหล่งรวบรวมความรู้และข้อมูลที่เกี่ยวกับชายหาด
บทความวันที่ 22 พฤษภาคม 2568
แบ่งปันสิ่งนี้
รอดักทราย คืออะไร ? เวลาเห็นโครงสร้างป้องกันชายฝั่งในทะเลที่ตั้งฉากกับชายหาดนั้นเรียกว่า รอดักทราย เเล้วผลกระทบเป็นอย่างไร มีที่ไหนบ้าง ชวนอ่านในบทความ
พายุปาบึก ทำให้ชายหาดดอนทะเล จังหวัดสุราษฎร์ธานี ประสบปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง ภายหลังพายุผ่านพ้นไปชายหาดกลับคืนสภาพสมบูรณ์ เเต่กรมโยธาธิการและผังเมือง กลับมาผลักดันโครงการกำแพงกันคลื่น เปลี่ยนชายหาดให้กลายเป็นแพงกันคลื่นถาวร เเต่พลังของชุมชนปกป้องชายหาดไว้ได้
ถอดบทเรียนปัญหาสิ่งเเวดล้อมภายใต้การบังคับใช้ พ.ร.บ. EEC ก่อนจะถูกโคลนนิ่งมาเป็น พ.ร.บ. SEC ร่าง พ.ร.บ. SEC ที่ถูกเสนอเข้าไป และคาดว่าร่างของรัฐบาลที่กำลังจะมีมติ ครม. มอบให้ สนข.เป็นผู้เสนอร่าง พ.ร.บ. SEC Beach for life ชวนถอดบทเรียนดูปัญหาสิ่งแวดล้อมเชิงประจักษ์ที่เกิดขึ้นภายใต้การบังคับใช้กฎหมาย EEC ที่เป็นร่างโคลนนิ่งของ พ.ร.บ. SEC